ความคิดของฉินเย่ยุ่งเหยิงไปหมด ตั้งแต่ตอนเด็กๆ เขาก็รู้สึกว่าโม่ไป๋แปลกๆ ชอบทำตัวใกล้ชิดกับเสิ่นหยินอู้ตลอด ชอบลูบหัวเธอและเรียกเธอว่า "ยัยเด็กน้อย" แต่โม่ไป๋มักจะบอกว่า เสิ่นหยินอู้เป็นแค่ยัยเด็กน้อยที่ยังไม่โต ดังนั้น ฉินเย่จึงคิดมาตลอดว่า เขามองเธอเป็นน้องสาว แม้ว่าเขาจะคิดแบบนั้น แต่ลึก ๆ ในใจของฉินเย่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ความรู้สึกไม่สบายใจนี้หายไปหลังจากที่โม่ไป๋ไปต่างประเทศและขาดการติดต่อไป ไม่นึกเลยว่าวันนี้...... โม่ไป๋จะกล้ายอมรับ และยอมรับออกมาอย่างรวดเร็วอีกด้วย"แปลกใจเหรอ?" โม่ไป๋หัวเราะเบา ๆ "ฉันไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนตั้งแต่เด็กเหรอว่าฉันชอบเธอ? ฉันคิดว่านายรู้มาตลอดซะอีก" ฉินเย่ไม่พูดอะไร ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น"ดูเหมือนนายจะเพิ่งรู้ แต่รู้ตอนนี้รู้ก็ไม่สาย"พอนึกอะไรขึ้นมาได้ โม่ไป๋ก็พูดขึ้น "แล้วนายจะทำยังไงกับเจียงฉูฉู่?""อะไรนะ?" ฉินเย่คิดถึงแต่เรื่องที่โม่ไป๋ชอบเสิ่นหยินอู้ จนไม่ทันได้คิดถึงเรื่องอื่น โม่ไป๋พูดอย่างอ้อมค้อม"ฉันได้ยินมาว่านายออกมาจากโรงพยาบาลมากลางคันเพราะมีคนส่งข้อความบอกว่าเจียงฉูฉู่หายตัวไป?"ทั้งสองเป็นคนฉลาด โม่ไป๋พูดอ
"ไม่ใช่ว่าไม่ให้คุณสนใจ แต่ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว โกรธไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ค่อยๆคิดหาทางแก้กันไปดีกว่า""ค่อยๆคิดหรอ? เรื่องมันขนาดนี้แล้วคุณยังจะค่อยๆคิดอีก? ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปจัดการลูกเองเลยดีมั้ย? ฉันไม่เอาแล้ว"พ่อของฉินเย่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา"คุณก็รู้ว่าผมเชื่อฟังคุณทุกอย่าง ลูกก็ด้วย แต่ถ้าคุณเป็นลูก คุณจะทำยังไง? ได้ยินว่าคนที่เคยช่วยชีวิตหายไปทั้งคน คุณจะนั่งรอในห้องผ่าตัดเฉย ๆ หรอ?" คุณแม่ฉินเงียบไป"อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ คุณจะให้เขาเลือกยังไง?""ก็ไม่ใช่ว่าไม่ให้เขาไปตามหาหรอก แต่จำเป็นต้องไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เสิ่นหยินอู้ก็เหมือนกัน......โชคดีที่โม่ไป๋ไปเจอเข้า ไม่อย่างนั้นเสิ่นหยินอู้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ แล้วการที่ลูกต้องลำบากใจจะมีประโยชน์อะไร?""นั่นสิ โชคดีที่มีโม่ไป๋ คุณอย่าไปโทษฉินเย่อีกเลย ลูกเองก็คงรู้สึกแย่เหมือนกัน" "รู้สึกแย่ก็ดี ให้เขารู้สึกแย่ไปเลย ดีกว่ามารู้ว่าอะไรสำคัญที่สุดตอนที่สายไปแล้ว" แม้จะพูดแบบนั้น แต่เมื่อนึกถึงท่าทางของฉินเย่ที่เดินจากไปเงียบ ๆ หลังจากที่โดนเธอตบหน้าไปหนึ่งที คุณแม่ก็อดรู้สึกสงสารไม่ได้เขาคงรู้สึ
เมื่อเห็นเขา เจียงฉูฉู่ก็สะดุ้งตกใจ จากนั้นก็แสดงความดีใจแล้วลุกจากเตียงเพื่อเดินไปหาฉินเย่ “เย่ ทำไมจู่ๆถึงมาที่นี่ล่ะ? อาการของคุณย่าเป็นยังไงบ้าง? การผ่าตัดประสบความสำเร็จดีไหม?” อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเดินตรงหน้าฉินเย่ เธอกลับพบว่าใบหน้าของเขาบูดบึ้งและมีสายตาที่เย็นชา เมื่อนึกถึงเรื่องของซูเชี่ยวกับต้วนจื่อเหย่ เจียงฉูฉู่ก็รู้สึกผิด แต่เธอไม่กล้าที่จะแสดงมันออกมาแม้แต่น้อย เธอไม่สามารถตื่นตูมได้ ในเวลานี้ เธอต้องใจเย็นกว่านี้ สามารถปล่อยให้ฉินเย่เห็นในสิ่งที่เธอเป็นกังวลได้โดยเด็ดขาด เสียงของฉินเย่เย็นชา “คุณย่าไม่เป็นไร คุณล่ะ?” “อะไรนะ?” หัวใจของเจียงฉูฉู่เต้นผิดจังหวะ เธอคิดว่าเธอได้ยินผิดไป เมื่อกี้ที่ฉินเย่ถามคือเธอเหรอ? “เพื่อนของคุณล่ะ?” ฉินเย่กวาดสายตามองไปรอบๆห้องผู้ป่วย “รู้ไหมว่าพวกเขาไปไหนกันหมด?” “ไม่แน่ใจ” เจียงฉูฉู่ส่ายหัวและกัดริมฝีปากล่างเบาๆ “ก่อนหน้านี้ฉันออกไปข้างนอกมา พวกเธอคงไปตามหาฉันกันหมดน่ะ” "งั้นเหรอ?" เจียงฉูฉู่ไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาต้องการที่จะพูดอะไร เธอคิดว่าเธอถูกจับได้ แต่ฉินเย่ไม่ได้พูดอะไรต่อหลังจากสองคำนั้นและยังคงนิ่งเงียบ
ดังนั้นเธอจึงได้ให้ซูเชี่ยวอยู่เคียงข้างเธอมาโดยตลอด คิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่ซูเชี่ยวจะมีประโยชน์ขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ต้วนจื่อเหย่ ในเมื่อเขาชอบเธอมาก ไปทนทุกข์แทนเธอสักหน่อย เขาคงจะเต็มใจสินะ? “ไม่เข้าใจเหรอ?” ดวงตาของฉินเย่เฉี่ยวคมและมืดมน นิ้วมือเย็นๆของเขาบีบคางของเธอไว้ราวกับงูกำลังรัดเหยื่อ “ฉูฉู่ คุณเคยช่วยชีวิตผมไว้ ผมเลยเชื่อใจคุณมาโดยตลอด แล้วก็มองคุณเป็นคนที่สำคัญมาก แต่ถึงแบบนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะโกหกผมได้ตามใจคุณ” เขาออกแรงเล็กน้อยที่มือของเขา เจียงฉูฉู่รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างชัดเจน ในขณะนี้ นอกเหนือจากความเย็นจากนิ้วของเขาแล้ว เจียงฉูฉู่ยังสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นที่ลึกล้ำและรุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาอย่างชัดเจน เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เจียงฉูฉู่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าฉินเย่จะทำแบบนี้กับเธอ เขาเชื่อใจตัวเธอมาตลอดไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้? เมื่อหัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวด น้ำตาอันร้อนรุ่มก็ไหลออกมาจากดวงตาของเจียงฉูฉู่ ในเวลาไม่ถึงห้าวินาที เจียงฉูฉู่ก็ร้องไห้ออกมาเหมือนเด็กขี้แย “เย่ ฉันไม่เข้าใจ นายกำลังพูดอะไรอยู
มันหมายความว่ายังไง? ยังไม่ได้ตรวจ? นั่นเท่ากับว่าเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม? การที่จะไม่ตรวจสอบ ก็หมายความว่าเธอจะต้องไม่เป็นอะไรเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ ถ้าเธอแท้งลูก มันก็ต้องมีเลือดไหลออกมาแน่นอน และสถานการณ์จะเลวร้ายขึ้นมาก "ตรวจไปแล้ว" อย่างไรก็ตาม เสียงของฉินเย่ทำให้เจียงฉูฉู่กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เจียงฉูฉู่รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ตรวจสอบไปแล้ว แต่ก็ไม่เป็นอะไร ถ้างั้นก็หมายความว่า... ตอนนี้ฉินเย่รู้เรื่องการตั้งครรภ์ของเธอแล้วงั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้น...เขากับเสิ่นหยินอู้คงคืนดีกันแล้ว และรู้ว่าเธอลบข้อความของเขาไปงั้นเหรอ? ถ้าถูกจับได้ เขาคงจะ... เจียงฉูฉู่เริ่มรู้สึกเย็นวาบที่หลังของเธอ ราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง ฉินเย่ไม่ปล่อยอารมณ์ใดๆบนใบหน้าของเธอให้เล็ดลอดไปได้ เขาตระหนักได้ว่าท่าทีของเจียงฉูฉู่ดูผิดปกติมากหลังจากที่เขาบอกว่าเขาตรวจไปแล้ว ดวงตาที่เฉี่ยวคมของเขาหรี่ลงด้วยความไม่ไว้วางใจ “ทำไมล่ะ? ที่เธอไม่ได้ตรวจ คุณเป็นห่วงมากเลยเหรอ?” หลังจากได้ยิน เจียงฉูฉู่ก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง เธอเปิดริมฝีปากของเธออย่างรวดเร็ว “แน่นอนว่าต้องเป็นห่วงอ
"ใช่" ฉินเย่พูดอย่างใจเย็น "มันเป็นเวลาที่คุณย่าเข้าห้องผ่าตัดจริงๆ และคุณก็รู้ดี คุณสามารถใช้ประโยชน์ในเวลานี้เพื่อปิดบังในสิ่งที่คุณทำได้" เมื่อได้ยิน รอยยิ้มของเจียงฉูฉู่ก็ซีดลงในทันที ร่างกายที่ผอมบางของเธอก็ยืนสั่นอยู่ที่เดิมราวกับจะล้มลงมา ดูเหมือนต้นวิลโลว์อันอ่อนแอที่พร้อมจะล้มลงไปตามสายลม “ที่แท้ นายก็ได้ตัดสินฉันอยู่ในใจไปตั้งนานแล้ว นายไม่ไว้ใจฉันเลย ฉินเย่ ทำไมนายถึงไม่เชื่อฉันล่ะ? เพียงเพราะครั้งที่แล้วฉันจงใจทำร้ายตัวเองเพื่อรักษาเกียรติของตัวเอง นายก็เลยคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงประเภทที่จะคิดชั่วทำชั่วอะไรก็ได้งั้นหรอ?” ฉินเย่หรี่ตาของเขาลง “งั้น ท้ายที่สุดคุณก็ยอมรับแล้วว่าคุณตั้งใจทำให้ตัวเองบาดเจ็บสินะ?” เจียงฉูฉู่ตัวสั่น “ครั้งก่อนฉันยอมรับไปแล้วไม่ใช่หรอ? มันเป็นสิ่งที่ฉันทำ ฉันก็ยอมรับไปแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ฉันทำ ทำไมฉันต้องยอมรับด้วย? เรารู้จักกันมาตั้งหลายปีแล้ว เพื่อรักษาเกียรติของฉัน ฉันไม่เคยทำร้ายคนอื่น ทำฉันตัวของฉันเอง ฉันถึงขั้นเคยเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยนาย หยินอู้ก็เป็นเพื่อนคนสำคัญของนาย เธอถึงขั้นยอมแต่งงานปลอมๆกับนายเพื่อดูแลคุณย่า เพื่อให้คุณย่าย
ณ สถานีตำรวจ “ปล่อยฉันออกไปนะ ฉันไม่ใช่ผู้สมรู้ร่วมคิดกับเขา เรื่องทั้งหมดน่ะ เขาเป็นคนที่วางแผนคนเดียว พวกคุณยัดเยียดความผิดให้คนที่บริสุทธิ์อยู่นะ” ซูเชี่ยวพยายามดิ้นรนและตะโกนออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ที่เธอถูกจับได้จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว เธอคิดว่าหลังจากสอบสวนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเขาอาจจะปล่อยเธอออกไป แต่เธอคิดผิด ตั้งแต่ที่เธอเข้ามาจนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเธอออกไปเลย ไม่เพียงเท่านั้น ต้วนจื่อเหย่ที่อยู่ข้างๆมีท่าทีเหมือนว่าได้ยอมรับชะตากรรมไปแล้ว เขาไม่ได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะขัดขืนหรือไม่ แต่เขายังยอมรับอีกว่าเขาสมรู้ร่วมคิดกับเธอ “ขอถามอีกครั้ง คุณได้สมรู้ร่วมคิดในการก่อคดีลักพาตัวกับผู้หญิงที่อยู่ข้างๆคุณที่ชื่อซูเชี่ยวหรือเปล่า?” ต้วนจื่อเหย่พยักหน้า "ครับ" “นอกจากเธอล่ะ? ยังมีใครที่เกี่ยวข้องอีกไหม?” เมื่อได้ยินคำถามนี้ ชื่อของเจียงฉูฉู่ก็แวบขึ้นมาในหัวของซูเชี่ยวโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่เธอจะได้โต้ตอบ ต้วนจื่อเหย่ที่อยู่ข้างๆก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว “ไม่มีครับ มีแค่เราสองคน” หลังจากได้ยิน ซูเชี่ยวก็หันไปมองเข
คำพูดนี้ฟังดูหวานแหววมาก ทำเอาพยาบาลรู้สึกอิจฉาเสิ่นหยินอู้ขึ้นมาทันทีที่แท้ยังไม่เป็นแฟนกัน ก็ดีต่อคนอื่นเขาเพียงนี้แล้ว แถมยังอ่อนโยนมากด้วย น้ำเสียงตอนอธิบายก็อ่อนนุ่ม ซ้ำยังขอบคุณที่เธออวยพรด้วยทำไมบนโลกนี้ถึงได้มีคนอ่อนโยนขนาดนี้เนี่ย?พยาบาลกำลังคิดเหม่อลอยอยู่ ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกคนผลักเปิดออกฉินเย่ที่รูปร่างสูงยาวเดินเข้ามา บนตัวเขายังเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยือกอีกด้วย ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเย็นชาถึงขีดสุดทันทีที่เข้าไปในห้องผู้ป่วย สายตาของเขาก็ตกอยู่ที่ร่างกายของหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยทันทีหลังจากที่กวาดมองไปรอบหนึ่งถึงจะเปลี่ยนไปมองที่โม่ไป๋หลังจากนั้น เขาก็เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ฉันมารับเธอกลับบ้าน”บ้าน?เมื่อได้ยินคำคำนี้แล้ว พยาบาลก็ตกตะลึงในใจถึงกับใช้คำว่าบ้านด้วยกันแล้วเหรอเนี่ย หรือว่าสองคนนี้ถึงจะเป็นคู่จริงคู่แท้?เผชิญกับคำพูดตรงไปตรงมาของฉินเย่แล้ว โม่ไป๋เองก็ไม่โกรธ เพียงแค่กล่าวอย่างอ่อนโยนเหมือนเดิมว่า “นายจะพาเธอกลับไปได้ แต่ต้องรอให้เธอตื่นก่อน”ฉินเย่ปั้นหน้าเขียวก่อนที่ยังเข้ามา เขาแอบได้ยินบทสนทนาระหว่างโม่ไป๋กับพยาบาลแล้ว